โครงสร้างกระจายน้ำหนักพื้นยก (Shared Load Structure) – เพิ่มความแข็งแรงให้พื้นอาคารสูงสุด!

shared load structure สำหรับพื้นยก

โครงสร้างกระจายน้ำหนัก (Shared Load Structure) ในระบบพื้นยก: ทุกสิ่งที่คุณต้องรู้

โครงสร้างกระจายน้ำหนัก (Shared Load Structure) คืออะไร?

โครงสร้างกระจายน้ำหนัก (Shared Load Structure) คือ โครงสร้างเหล็กที่ช่วยกระจายน้ำหนักของสิ่งของหนักที่วางอยู่บนพื้นยก (Raised Floor)  ไปยังหลายจุดเพื่อลดแรงกดเฉพาะที่ โดยโครงสร้างนี้ถูกออกแบบมาเพื่อลดแรงกดที่เกิดขึ้นเฉพาะจุด ช่วยให้พื้นอาคาร รับแรงได้อย่างสมดุล ลดโอกาสที่พื้นจะแตกร้าว โก่งตัว หรือเสียหาย โดยเฉพาะในกรณีที่น้ำหนักที่กระทำบนพื้นยกเกินกว่าค่าที่พื้นอาคารเดิมสามารถรองรับได้

โครงสร้างนี้สามารถทำได้โดยการใช้ โครงเหล็ก (Steel Structure) หรือแผ่นเหล็กกระจายน้ำหนัก (Shared Load Plate) ซึ่งจะช่วยรองรับน้ำหนักได้ดีกว่าการใช้ขาตั้งพื้นยกแบบเดี่ยว ๆ (Pedestal System)

โดยปกติแล้ว พื้นอาคารที่อยู่ใต้พื้นยก (Raised Floor / Access Floor) มีขีดจำกัดในการรับน้ำหนัก หากมีอุปกรณ์หนัก เช่น ตู้เซิร์ฟเวอร์ เครื่องจักร หรือชั้นวางสินค้า อยู่บนพื้นยกโดยไม่มีระบบกระจายน้ำหนักที่ดี อาจทำให้พื้นอาคารเกิด การโก่งตัว แตกร้าว หรือความเสียหาย ได้ โครงสร้างกระจายน้ำหนักจึงมีบทบาทสำคัญในการ เพิ่มความมั่นคงให้กับพื้นยกและป้องกันความเสียหายของพื้นอาคาร

 

เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าทำไมต้องใช้โครงสร้างกระจายน้ำหนักกับพื้นยก

เปรียบเทียบกับชีวิตประจำวัน

รองเท้าส้นสูง vs. แผ่นไม้
  • หากคุณใส่รองเท้าส้นสูงและเดินบนพื้นดินที่นิ่ม ส้นรองเท้าจะจมลงไปเพราะแรงกดถูกกระทำที่จุดเล็ก ๆ
  • แต่ถ้าคุณยืนบนแผ่นไม้ น้ำหนักของคุณจะกระจายไปทั่วแผ่นไม้ ทำให้ไม่จม
เครื่องจักรบนพื้นเปียกแฉะ
  • หากต้องการใช้รถแม็คโคร (Excavator) ขุดดินในพื้นที่ที่เปียกและมีน้ำขัง รถอาจจมลงไปได้ หากวางรถแม็คโครตรงจุดนั้นเลย
  • วิธีแก้ไขคือวาง แผ่นเหล็กหรือโครงเหล็กขนาดใหญ่ ใต้ล้อรถเพื่อช่วยกระจายน้ำหนัก → ทำให้รถสามารถวิ่งบนพื้นดินได้โดยไม่จม

โครงสร้างกระจายน้ำหนักสำหรับพื้นยกก็ทำงานในลักษณะเดียวกัน!

รถแม็คโคใช้โป๊ะเหล็กเป็น shared load structure เพื่อกระจายน้ำหนักรถให้อยู่บนน้ำได้ รถแม็คโคใช้แผ่นเหล็กเป็น shared load structure เพื่อกระจายน้ำหนักรถให้อยู่บนพื้นดินได้ รถแม็คโคใช้โป๊ะเหล็กเป็น shared load structure เพื่อกระจายน้ำหนักรถให้อยู่บนน้ำได้
  • รถแม็คโคใช้โป๊ะเหล็กเป็น shared load structure เพื่อกระจายน้ำหนักรถให้อยู่บนพื้นที่เป็นโคลนหรือเลนได้
  • รถแม็คโคใช้แผ่นเหล็กเป็น shared load structure เพื่อกระจายน้ำหนักรถให้อยู่บนพื้นดินที่รับน้ำหนักได้ต่ำได้
  • รถแม็คโคใช้โป๊ะเหล็กเป็น shared load structure เพื่อกระจายน้ำหนักรถให้อยู่บนน้ำได้

 

การเปรียบเทียบการรับน้ำหนัก: มี VS ไม่มีโครงสร้างกระจายน้ำหนัก

ลักษณะการรับน้ำหนักไม่มีโครงสร้างกระจายน้ำหนักมีโครงสร้างกระจายน้ำหนัก
แรงกดที่พื้นยก สูงมากที่จุดเล็ก ๆ กระจายไปทั่วพื้นที่
ความเสี่ยงที่พื้นแตกร้าว สูง ต่ำ
ความสามารถในการรองรับน้ำหนัก จำกัดที่ความสามารถของขาตั้ง รับน้ำหนักได้มากขึ้นโดยใช้โครงสร้างเหล็กช่วยกระจายแรง

 

ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มีโครงสร้างกระจายน้ำหนัก

พื้นอาคารอาจแตกร้าวหรือโก่งตัว – เนื่องจากแรงกดทับกระทำที่จุดเล็ก ๆ
อุปกรณ์ที่อยู่บนพื้นอาจทรุดตัว – เช่น ตู้เซิร์ฟเวอร์ เครื่องจักร หรืออุปกรณ์ขนาดใหญ่ อาจเสียหายหากพื้นยกไม่สามารถรองรับน้ำหนักได้ดีพอ

 

หลักการทำงานของโครงสร้างกระจายน้ำหนัก

โครงสร้างกระจายน้ำหนักถูกออกแบบให้ ลดแรงกดเฉพาะจุด (Point Load) และช่วยกระจายแรงไปยังพื้นที่กว้างขึ้น (Distributed Load) เพื่อให้พื้นยกสามารถรองรับน้ำหนักได้โดยไม่เกิดความเสียหาย

หลักฟิสิกส์ของการกระจายน้ำหนัก

น้ำหนักที่กดลงบนพื้นยกสามารถแสดงเป็น แรงกด (Force) และพื้นที่รองรับ (Area)

   
  • ถ้า น้ำหนักมากแต่กระจายพื้นที่รองรับให้กว้างขึ้น แรงกดเฉพาะจุดจะลดลง → ลดความเสี่ยงของความเสียหายต่อพื้นอาคาร
  • ถ้า น้ำหนักถูกกดลงที่จุดเล็ก ๆ เช่น ตู้เซิร์ฟเวอร์ที่มีขา 4 จุด → พื้นอาคารอาจโก่งตัวหรือล้มเหลวได้

✅ โครงสร้างกระจายน้ำหนักทำให้แรงกดจากอุปกรณ์ถูกส่งไปทั่วพื้นยก และถ่ายแรงไปยังขาตั้งและต่อด้วยโครงเหล็กกระจายน้ำหนัก (Shared Load Structure) ด้านล่าง

 

ตัวอย่างปัญหาหากไม่มีโครงสร้างกระจายน้ำหนัก

ศูนย์ข้อมูล (Data Center)

ปัญหา: ตู้เซิร์ฟเวอร์แต่ละตู้มีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัม แต่ที่มีขา 4 จุด กดน้ำหนักลงพื้นยกมาก อาจทำให้พื้นอาคารแตกร้าว โก่งตัว หรือเสียหาย
โซลูชัน: ใช้โครงเหล็กช่วยกระจายน้ำหนัก

โรงงานอุตสาหกรรม

ปัญหา: เครื่องจักรขนาดใหญ่กดทับที่พื้นอาคารโดยตรง อาจทำให้พื้นอาคารเสียหาย
โซลูชัน: ใช้แผ่นเหล็กกระจายน้ำหนัก หรือโครงเหล็กรองพื้น

ห้องควบคุมไฟฟ้า (Electrical Control Room)

✅ ปัญหา: อุปกรณ์ไฟฟ้ามีน้ำหนักมาก และต้องการความมั่นคง
✅ โซลูชัน: ใช้โครงสร้างเหล็กรองรับพื้นเพื่อเพิ่มความเสถียร

 

โครงสร้างกระจายน้ำหนักที่ใช้ในระบบพื้นยกมีอะไรบ้าง?

1️⃣ แผ่นเหล็กกระจายน้ำหนัก (Shared Load Plate)

  • เป็น แผ่นเหล็กขนาดตามที่ออกแบบ ที่วางใต้ขาตั้งพื้นยกหรืออุปกรณ์หนัก
  • กระจายแรงไปยังพื้นที่กว้างขึ้น ลดแรงกดเฉพาะจุด
  • ใช้ในงานที่ต้องการกระจายน้ำหนักในจุดเล็ก ๆ เช่น ใต้ตู้เซิร์ฟเวอร์ หรืออุปกรณ์หนัก

2️⃣ โครงเหล็กเป็นฐานรองรับ (Steel Subframe)

  • เป็นโครงสร้างเหล็กที่วางบนพื้นอาคารก่อนติดตั้งพื้นยก
  • กระจายน้ำหนักให้พื้นยกโดยรวม มีความแข็งแรงมากกว่าการใช้ขาตั้งเดี่ยว
  • ใช้ในงานที่ต้องการรองรับน้ำหนักสูง เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center), ห้อง Server, หรือโรงงานอุตสาหกรรม

3️⃣ โครงเหล็กแบบตาข่าย (Steel Grid Framework)

เป็นโครงสร้างเหล็กที่ออกแบบเป็นตารางเพื่อช่วยกระจายแรง

  • ใช้ร่วมกับขาตั้งพื้นยกเพื่อให้พื้นรับน้ำหนักได้มากขึ้น
  • เป็นโครงสร้างเหล็กที่วางบนพื้นอาคารก่อนติดตั้งพื้นยก
  • นิยมใช้ในงานที่ต้องการรองรับน้ำหนักสูง เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center), ห้อง Server, โรงงานอุตสาหกรรมโรงงาน, หรือพื้นที่ที่ต้องรองรับเครื่องจักรหนัก

 

โครงสร้างกระจายน้ำหนักพื้นยก แบบ plate steel shared load structure แบบ plate steel โครงสร้างกระจายน้ำหนักพื้นยก แบบ steel grid framework
  • Shared Load Structure แบบ Steel Plate
  • Shared Load Structure แบบ Steel Grid Framework
พื้นยกสำหรับห้อง server shared load structure แบบ steel grid framework พื้นยกสำหรับห้อง data center
  • ติดตั้ง Raised Floor Panel และชุด Pedestal และ Stringer ตามตำแหน่ง
  • การติดตั้งชุดงานพื้นยก จะสอดคล้องตำแหน่งของ Steel Grid Framework 
  • หลังจากติดตั้งงาน Raised Floor ก็จะทำความสะอาดด้านล่างอีกครั้ง 

 

โครงสร้างเหล็กรองรับพื้นยกแบบกระจายน้ำหนัก (Shared Load Structure with Steel Grid Framework)

โครงสร้างเหล็กที่รองรับพื้นยกช่วย กระจายน้ำหนักให้กับพื้นอาคาร มากกว่าการใช้แค่ขาตั้งพื้นยกเพียงอย่างเดียว

โครงสร้างเหล็กช่วยถ่ายเทน้ำหนักอย่างไร?

1️⃣ น้ำหนักจากอุปกรณ์ที่วางบนพื้นยก → ถูกกระจายไปที่แผ่นพื้นยก
2️⃣ แผ่นพื้นยกถ่ายน้ำหนักลงไปที่โครงสร้างเหล็กด้านล่าง
3️⃣ โครงสร้างเหล็กช่วยกระจายน้ำหนักไปยังหลายจุดก่อนส่งแรงลงสู่พื้นอาคาร

ข้อดีของการใช้โครงสร้างเหล็ก

  • ลดแรงกดที่พื้นอาคารโดยตรง
  • กระจายน้ำหนักไปยังหลายจุด
  • เพิ่มความแข็งแรงของพื้นยก

 

เปรียบเทียบพื้นยกแบบขาตั้งธรรมดา VS แบบโครงสร้างเหล็กรองรับ (Shared Load Structure) 

ลักษณะการทำงานพื้นยกแบบขาตั้งธรรมดาพื้นยกแบบโครงสร้างเหล็กรองรับ
การถ่ายน้ำหนัก จากแผ่นพื้นยก → ขาพื้นยกโดยตรง → พื้นอาคาร จากแผ่นพื้นยก → โครงเหล็ก → พื้นอาคาร
ความแข็งแรง ขึ้นอยู่กับจำนวนขาตั้ง กระจายน้ำหนักทั่วโครงสร้างเหล็ก
ความเสถียร มีโอกาสโก่งตัว ลดการโก่งตัว เพิ่มความแข็งแรง
การรับน้ำหนัก จำกัดที่ขาตั้ง รับน้ำหนักได้มากขึ้น
แรงสั่นสะเทือน ปานกลาง ดีเยี่ยม (ช่วยดูดซับแรง)

 

การออกแบบโครงสร้างเหล็กให้เหมาะสมกับพื้นยก

A. รูปแบบโครงสร้างเหล็ก

Grid Layout (โครงเหล็กแบบตาราง) – เพื่อช่วยกระจายแรงหรือกระจายน้ำหนักได้ทั่วถึง
คานเสริมแรง (Cross-Bracing) – ป้องกันการบิดตัวของโครงสร้าง

 

ตัวอย่าง
  • ถ้าใช้แผ่นพื้น 600x600 มม. → ควรวางคานเหล็กทุกระยะ 600 มม.
  • หากรองรับ เครื่องจักรหนักมาก ๆ → ต้องเสริมโครงเหล็กเพิ่ม

B. การถ่ายน้ำหนักจากโครงเหล็กลงพื้นอาคาร

✅ บริเวณที่โครงเหล็กสัมผัสกับพื้นต้องแข็งแรงพอ
✅ คำนวณน้ำหนักรวมให้แน่ใจว่าพื้นอาคารสามารถรับน้ำหนักรวมได้โดยไม่ให้พื้นอาคารการแตกร้าว

 

ตัวอย่าง
  • หากพื้นต้องรองรับ ตู้เซิร์ฟเวอร์หนัก 2,000 กก. → ต้องออกแบบให้กระจายน้ำหนักไปทั่ว ถ้าพื้นอาคารเดิมไม่ได้ออกแบบไว้สำหรับการรองรับน้ำหนักสำหรับตู้ Server ไว้ ไม่ใช่แค่บางจุด

C. วิธีเชื่อมต่อพื้นยกกับโครงเหล็ก

✅ ใช้ Epoxy Glue ให้มั่นคง ในกรณีการติดตั้งตามมาตรฐานปกติ
✅ ถ้าเป็นพื้นที่ที่มีแรงสั่นสะเทือน → ใช้วิธีการยึดแบบถอดเปลี่ยนได้ หรือน็อตยึด (Bolted Connection) ให้มั่นคง

 

การใช้งานจริงของโครงสร้างเหล็กกระจายน้ำหนัก (Shared Load Structure) ในพื้นยก

  • ศูนย์ข้อมูล (Data Center) – ช่วยรองรับน้ำหนัก ตู้เซิร์ฟเวอร์
  • ห้อง Server (Server Room) – ช่วยรองรับน้ำหนัก ตู้เซิร์ฟเวอร์
  • โรงงานอุตสาหกรรม – รองรับ เครื่องจักรหนัก
  • ห้องคลีนรูม / ห้องปฏิบัติการ – ลดแรงสั่นสะเทือน
  • พื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว – ป้องกันพื้นโก่งตัว

 

โครงสร้างกระจายน้ำหนักทำงานอย่างไร?

เมื่อมีอุปกรณ์หนักวางอยู่บนพื้นยก น้ำหนักของมันจะถูกกระจายไปตามโครงสร้างพื้นยกดังนี้

1️⃣ น้ำหนักจากอุปกรณ์ → กระจายไปยัง แผ่นพื้นยก
2️⃣ แผ่นพื้นยกถ่ายแรงไปที่ขาตั้งหรือโครงสร้างเหล็ก
3️⃣ ถ้ามีโครงสร้างกระจายน้ำหนัก → น้ำหนักจะถูกกระจายไปยังหลายขาตั้งและลงไปที่พื้นอาคาร
4️⃣ ทำให้พื้นยกมั่นคงขึ้น ลดความเสี่ยงในการเสียหายของพื้น

หากไม่มีโครงสร้างกระจายน้ำหนัก

  • น้ำหนักอาจกดลงที่ขาตั้งเพียงไม่กี่ตัว ทำให้เกิดการโก่งตัวของพื้นอาคาร
  • หากน้ำหนักมากเกินไปพื้นอาคารอาจแตกร้าว

 

วิธีการออกแบบโครงสร้างกระจายน้ำหนักให้เหมาะสม

1️⃣ คำนวณน้ำหนักที่ต้องรองรับ

ตรวจสอบ น้ำหนักรวมของอุปกรณ์ เช่น เซิร์ฟเวอร์, ตู้ไฟฟ้า หรือเครื่องจักร
✅ ตรวจสอบ ความสามารถในการรับน้ำหนักของพื้นอาคารเดิม

2️⃣ เลือกประเภทโครงสร้างที่เหมาะสม

✅ ถ้าต้องรองรับน้ำหนักสูง → ใช้ โครงเหล็กเสริมรองรับพื้นยก
 

3️⃣ วางตำแหน่งขาตั้งและคานเหล็กให้เหมาะสม

✅ ถ้าใช้แผ่นพื้นยกขนาด 600x600 มม. → ควรวางคานเหล็กทั้งแนวตั้งและแนวนอนทุกระยะ 600 มม.

 

สรุป: ทำไมโครงสร้างเหล็กกระจายน้ำหนัก (Shared Load Structure) จึงสำคัญในระบบพื้นยก?

ช่วยกระจายน้ำหนัก – ลดแรงกดเฉพาะจุด ลดความเสี่ยงในการแตกร้าวหรือโก่งตัวของพื้น

รับน้ำหนักได้มากขึ้น – ใช้ใน Data Center และโรงงานอุตสาหกรรม

เพิ่มความแข็งแรงของพื้นอาคาร – ลดปัญหาการโก่งตัวในกรณีที่ต้องน้ำหนักที่สูงเกินความสามารถการรับน้ำหนักของพื้น

✅ รองรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีน้ำหนักสูง – เช่น ศูนย์ข้อมูล, โรงงาน, ห้องควบคุมไฟฟ้า

ลดแรงสั่นสะเทือน – เหมาะกับห้องปฏิบัติการและพื้นที่เสี่ยงแผ่นดินไหว

ลดภาระของพื้นอาคาร – ทำให้พื้นอาคารรับแรงได้อย่างสมดุล

 

หากต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม หรือคำนวณโครงสร้างเหล็กที่เหมาะสม ติดต่อ BSP (2512) เราพร้อมทีมงานวิศวกรผู้ขำนาญการช่วยคุณออกแบบและติดตั้งระบบพื้นยกที่แข็งแรงที่สุด!

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

Visitors: 388,403