พื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (Raised Floor) คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?
Raised Access Flooring พื้นยกสำเร็จรูป, พื้นยก หรือ Raised Floor คือโซลูชันที่ช่วยจัดการสายไฟ สายเคเบิล และอุปกรณ์ใต้พื้นอย่างมีประสิทธิภาพ นิยมใช้ในศูนย์ข้อมูล, ห้องเซิร์ฟเวอร์, และพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยและความสะอาด โครงสร้างพื้นยกมักทำจากวัสดุทนทาน เช่น เหล็กเคลือบ epoxy อลูมิเนียม และแผ่นปิดผิว เช่น HPL, เซรามิก, หรือ PVC
พื้นยกกันไฟฟ้าสถิตเป็นระบบพื้นยกที่ออกแบบมาเพื่อช่วยป้องกันไฟฟ้าสถิตที่อาจสร้างความเสียหายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยพื้นชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้งานในสถานที่สำคัญ เช่น ศูนย์ข้อมูล (Data Center), ห้องคอมพิวเตอร์, ห้องเซิร์ฟเวอร์, หรือ Clean Room เป็นต้น ที่ต้องการการจัดการสายไฟอย่างเป็นระเบียบและปลอดภัย
พื้นยกกันไฟฟ้าสถิตมีวัสดุปิดผิวที่หลากหลาย เช่น HPL, เซรามิก, และ PVC ซึ่งนอกจากคุณสมบัติในการป้องกันไฟฟ้าสถิตแล้ว ยังทนต่อการสึกหรอ ความชื้น และไฟ จึงเหมาะกับงานระบบที่ต้องการมาตรฐานสูง
ข้อดีของพื้นยกสำเร็จรูป (Raised Floor)
- เพิ่มความปลอดภัย: ลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าสถิตที่อาจส่งผลต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- จัดการพื้นที่ได้ง่าย: สะดวกต่อการซ่อมบำรุงสายไฟและท่อใต้พื้น
- อายุการใช้งานยาวนาน: วัสดุที่ใช้ผลิตพื้นยกมีความแข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อม
- การออกแบบที่หลากหลาย: ปรับเปลี่ยนขนาดและความสูงได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน
การเตรียมพื้นที่ก่อนติดตั้งพื้นยกกันไฟฟ้าสถิต
การเตรียมพื้นที่ก่อนการติดตั้งพื้นยกกันไฟฟ้าสถิตเป็นขั้นตอนสำคัญที่มีผลต่อความแข็งแรง ความเรียบร้อย และประสิทธิภาพของพื้นในระยะยาว การเตรียมพื้นที่ที่ดีจะช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นควรดำเนินการดังนี้:
1. ตรวจสอบสภาพพื้นและพื้นที่ก่อสร้าง
- พื้นผิวอาคาร: พื้นที่ก่อสร้างควรมีพื้นผิวที่ เรียบ สะอาด และแห้ง โดยไม่ควรมีฝุ่น, คราบน้ำมัน, หรือเศษวัสดุอื่นๆ ที่อาจรบกวนการติดตั้งพื้นยก
- มาตรฐานอาคาร: ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าพื้นที่ดังกล่าวผ่านการรับรองตามมาตรฐานก่อสร้างในพื้นที่ เช่น ความหนาของพื้น ความสามารถในการรับน้ำหนัก และความเรียบของผิวพื้น
- การติดตั้งอุปกรณ์หนักหรือโครงฐานเหล็กรับตู้ Rack: ฐานต้องถูกยึดแน่น และความสูงของฐานควรเท่ากับพื้นผิว
- ข้อควรระวังระหว่างการก่อสร้าง: ตรวจสอบความเรียบของพื้นและผนัง หากไม่ตรงตามมาตรฐาน ให้แจ้งปัญหานี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการแก้ไขทันที
2. การป้องกันความชื้น
- การใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติป้องกันความชื้น: ปัจจุบันมีวัสดุที่สามารถป้องกันความชื้นจากคอนกรีตได้ เช่น น้ำยารองพื้นกันชื้น, น้ำยากันความชื้นจากคอนกรีต, ปูนบล็อคความชื้น หรือแผ่นพลาสติก EPE Damp-Proof Cloth บนพื้นเพื่อป้องกันความชื้นจากดินหรือพื้นผิวด้านล่างที่จะซึมขึ้นมาผ่านพื้นยก เป็นต้น
- ตรวจสอบสายไฟและท่อน้ำ: หากมีสายไฟหรือท่อน้ำที่ฝังอยู่ใต้พื้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าสายไฟและท่อน้ำเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและไม่มีปัญหา เช่น รอยรั่ว, การแตกหัก, หรือสายไฟที่ชำรุด
3. การทดสอบน้ำรั่วซึม
- ทดลองปิดกั้นน้ำ (Closed Water Experiment): เติมน้ำในพื้นที่ก่อสร้างเพื่อทดสอบว่ามีการรั่วซึมในพื้นที่หรือไม่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีท่อประปาหรือระบบน้ำใต้พื้น
- การแก้ไขก่อนติดตั้ง: หากพบการรั่วซึม ควรแก้ไขทันทีโดยการอุดรอยรั่วหรือปรับปรุงพื้นฐานให้เหมาะสมก่อนเริ่มการติดตั้ง
4. ติดตั้งประตูและหน้าต่างให้เสร็จสมบูรณ์
- การตรวจสอบ: การติดตั้งประตูและหน้าต่างควรดำเนินการให้เรียบร้อยก่อนการติดตั้งพื้นยก
- สภาพปิดล้อม: พื้นที่ควรอยู่ในสภาพที่สามารถปิดล้อมได้ เช่น ประตูและหน้าต่างสามารถปิดสนิท เพื่อป้องกันฝุ่นละอองและความชื้นที่อาจเข้ามาระหว่างการก่อสร้าง
5. ตรวจสอบความสูงใต้ประตู
- การกำหนดความสูงที่เหมาะสม: ความสูงที่เว้นไว้ใต้ประตูควรตรงกับความสูงของพื้นยกและระดับพื้นจริง หากระยะห่างต่ำเกินไป อาจทำให้ไม่สามารถเปิด-ปิดประตูได้อย่างสะดวก
6. การตรวจสอบมุมและระดับพื้น
- การใช้เครื่องมือวัดระดับ: ใช้เครื่องมือวัดระดับ (Leveling Tools) เพื่อวัดความเรียบของพื้นและความตั้งฉากของผนัง
- การแก้ไข: หากพื้นไม่เรียบหรือผนังไม่ตั้งฉาก ควรปรับแต่งพื้นที่ให้สมบูรณ์ก่อนเริ่มการติดตั้ง
7. การกำจัดเศษวัสดุและทำความสะอาดพื้นที่
- การเคลียร์พื้นที่: พื้นที่ก่อสร้างควรถูกเคลียร์จากวัสดุหรืออุปกรณ์ที่ไม่เกี่ยวข้อง
- การทำความสะอาด: ใช้เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องมือทำความสะอาดอื่นๆ เพื่อกำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรก
8. สภาพแวดล้อมในสถานที่ก่อสร้าง:
- อุณหภูมิของพื้นยก: สถานที่ก่อสร้างหรือพื้นที่ติดตั้งพื้นยกควรอยู่ระหว่าง 10-35 องศาเซลเซียส
- ความชื้นสัมพัทธ์: ควรน้อยกว่า 80%
- ควรมีการระบายอากาศที่ดีเพื่อช่วยให้การก่อสร้างดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการเตรียมพื้นที่ที่ดี
- ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของพื้นยก: การเตรียมพื้นที่ที่เหมาะสมช่วยให้พื้นยกสามารถยึดติดกับโครงรองรับได้อย่างมั่นคง
- ลดความเสี่ยงของปัญหาในระยะยาว: เช่น การยุบตัว, การเกิดสนิม, หรือการเสียหายจากความชื้น
- ประหยัดเวลาในการติดตั้ง: พื้นที่ที่พร้อมใช้งานช่วยให้การติดตั้งเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- เพิ่มอายุการใช้งาน: ลดการซ่อมแซมและเพิ่มความทนทานของพื้นในระยะยาว
การเตรียมพื้นที่ก่อนการติดตั้งพื้นยกกันไฟฟ้าสถิตไม่เพียงแค่ช่วยให้การติดตั้งง่ายขึ้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและความทนทานของระบบพื้นในระยะยาว ควรดำเนินการทุกขั้นตอนด้วยความรอบคอบและใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด.
ขั้นตอนการติดตั้งพื้นยกกันไฟฟ้าสถิต: รายละเอียดแบบมืออาชีพ
ขั้นตอนการเริ่มต้นติดตั้งพื้นยก
กระบวนการปูพื้นยกกันไฟฟ้าสถิตต้องดำเนินการอย่างมีระบบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพื้นที่ติดตั้งมีความปลอดภัยและใช้งานได้ในระยะยาว โดยมีขั้นตอนดังนี้:
1. การกำหนดแนวการปูพื้นยก:
การวางแนวที่ถูกต้องช่วยให้พื้นยกมีความเรียบร้อยและมั่นคง
- การวัดจุดกึ่งกลางและมุม:
ใช้ข้อมูลจากแปลนห้องเพื่อกำหนดจุดศูนย์กลาง กำหนดขนาดพื้นที่และการวางอุปกรณ์เพื่อเลือกทิศทางการปูพื้นให้เหมาะสม วัดจุดกึ่งกลางและมุมให้ตรงตามแบบและแบ่งกริดให้ตรงตามการวางแผน
- การตั้งแนวเส้นควบคุม:
ดึงเชือกเพื่อกำหนดแนวรอยต่อของแผ่นพื้น เพื่อให้รอยต่อเรียบตรง
- การกำหนดแนวของพืนยก:
เป็นแนวบังคับให้การติดตั้งงานระบบต่างๆใต้พื้นยกไม่ให้มากีดขวางกับงานพื้นยก
2. การเตรียมระบบสายไฟพื้น:
- เดินสายไฟพื้นให้เรียบร้อยก่อนเริ่มการปูพื้น
- ตรวจสอบการเชื่อมต่อของสายไฟให้มั่นใจว่าไม่มีการรั่วหรือปัญหาใดๆ
- ใช้ท่อร้อยสายไฟหรือถาดสายไฟเพื่อช่วยในการจัดเก็บสายไฟใต้พื้นอย่างปลอดภัย
3. การป้องกันความชื้น:
- การใช้ น้ำยารองพื้นกันชื้น, น้ำยากันความชื้นจากคอนกรีต, ปูนบล็อคความชื้น หรือแผ่นพลาสติก EPE หรือวัสดุป้องกันความชื้นบนพื้นปูนซีเมนต์
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าวัสดุป้องกันความชื้นครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด และไม่มีรอยฉีกขาด
4. การตรวจสอบระบบท่อและสายเคเบิล:
- ตรวจสอบท่อน้ำและสายเคเบิลที่ฝังอยู่ใต้พื้นให้เรียบร้อย
- หากพบปัญหา เช่น การรั่วซึมหรือสายเคเบิลที่ไม่เป็นระเบียบ ควรแก้ไขก่อนดำเนินการต่อ
เทคนิคการติดตั้งพื้นยกแบบมืออาชีพ
1. การปูพื้นแบบไขว้ (Staggered Cross-Paving):
- แผ่นพื้นยกควรปูแบบสลับกันระหว่างแถวเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดการเคลื่อนตัวของแผ่นพื้น
- การปูแบบไขว้ช่วยกระจายแรงกดบนแผ่นพื้นให้สม่ำเสมอ ทำให้พื้นยกมีความมั่นคง
2. การตรวจสอบแนวรอยต่อ:
- ทุกครั้งหลังจากปูพื้นยกครบ 3-5 แถว ให้ดึงเชือกเพื่อตรวจสอบแนวรอยต่อ
- หากพบว่ารอยต่อไม่ตรง ควรปรับแก้ทันทีเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว
3. การติดตั้งขาพื้นยกและคานพื้นยก (Pedestal and Stringer):
- ขาพื้นยกและคานพื้นยกต้องปรับระดับให้เท่ากันทุกจุด เพื่อให้แผ่นพื้นมีความเรียบร้อยและสมดุล
- ตรวจสอบความแข็งแรงของการยึดฐานรอง และปรับระดับให้สอดคล้องกับเส้นควบคุมที่กำหนด
- ตรวจสอบระดับของแผ่นพื้นยกทุกแผ่นเพื่อรักษาความสม่ำเสมอของระดับแผ่นพื้นยกทั้งหมดของพื้นที่งาน
4. การยึดหรือวางแผ่นพื้น:
- วางแผ่นพื้นลงบนโครงรองรับอย่างระมัดระวัง
- ใช้ระบบยึดที่เหมาะสม เพื่อให้แผ่นพื้นยึดแน่นและไม่หลุดง่าย
- ตรวจสอบระดับของแผ่นพื้นยกทุกแผ่นเพื่อรักษาความสม่ำเสมอของระดับแผ่นพื้นยกทั้งหมดของพื้นที่งาน ปัญหาเรื่องของเสียงหรือแผ่นพื้นยกคลอนจะมาจากการไม่ได้ระดับของแผ่นพื้นยกเป็นสำคัญ
5. การติดตั้งบัวยางพื้น (Skirt PVC):
- หลังการปูพื้นเสร็จ ให้ติดตั้งบัวยางเพื่อเป็นการเก็บงานติดตั้งให้เรียบร้อย
ข้อควรระวังในกระบวนการปูพื้นยก
1. ความสะอาดของพื้นที่:
- ก่อนปูพื้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าพื้นที่ปราศจากฝุ่นและเศษวัสดุที่อาจส่งผลต่อการยึดติดของแผ่นพื้น
2. การวัดระดับ:
- ใช้เครื่องมือวัดระดับเพื่อตรวจสอบความสม่ำเสมอของพื้นทุกครั้ง
- หากพบความสูงของพื้นไม่เท่ากัน ให้ปรับฐานรองเพื่อแก้ไข
3. การป้องกันความเสียหายของแผ่นพื้น:
- ระหว่างการปูพื้น ควรหลีกเลี่ยงการวางของหนักหรืออุปกรณ์บนแผ่นพื้นโดยตรง
- หากจำเป็นต้องวางอุปกรณ์ ควรใช้วัสดุป้องกันรองรับเพื่อป้องกันรอยขีดข่วน
ขั้นตอนสุดท้าย: การตรวจสอบและปรับปรุง
1. การตรวจสอบคุณภาพงาน:
- ตรวจสอบความแข็งแรงและความเรียบของพื้นยกอีกครั้งหลังการติดตั้ง
- ทดสอบการรองรับน้ำหนักของพื้นเพื่อให้มั่นใจว่าเป็นไปตามมาตรฐาน
2. การทำความสะอาดและเคลือบเงา:
- ใช้วัสดุทำความสะอาดที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อพื้นยก
- ขัดพื้นผิวเพื่อเพิ่มความเงางามและป้องกันรอยขีดข่วน
3. การตรวจสอบระบบไฟฟ้าใต้พื้น:
- ตรวจสอบสายไฟและระบบกราวด์อีกครั้งหลังการติดตั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีจุดรั่วหรือปัญหาอื่นๆ
การดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นอย่างละเอียดและรอบคอบ จะช่วยให้พื้นยกกันไฟฟ้าสถิตมีความปลอดภัย แข็งแรง และตอบโจทย์การใช้งานในระยะยาว. สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือคำปรึกษาในการติดตั้งพื้นยกกันไฟฟ้าสถิต โปรดติดต่อผู้เชี่ยวชาญ BSP (2512) ของเราได้ทันที!
วัสดุที่ใช้ในพื้นยกสำเร็จรูป (Raised Floor Materials)
การเลือกวัสดุสำหรับพื้นยกสำเร็จรูปเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพ ความทนทาน และประสิทธิภาพของระบบพื้นยก โดยวัสดุที่นำมาใช้ในการผลิตพื้นยกสำเร็จรูปมักถูกออกแบบให้ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ ต่อไปนี้คือรายละเอียดของวัสดุที่นิยมใช้:
แผ่นพื้นเป็นส่วนสำคัญของระบบพื้นยก ซึ่งมีวัสดุและการออกแบบหลากหลายเพื่อตอบสนองต่อการใช้งานเฉพาะทาง
1.1 เหล็กกล้าหุ้มด้วยวัสดุปิดผิว (Steel Encased Panels):
- ผลิตจากเหล็กกล้าคุณภาพสูง
- ภายในมักบรรจุซีเมนต์ชนิดพิเศษเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและลดเสียงสะท้อน
- ผิวด้านบนเคลือบด้วยวัสดุที่มีคุณสมบัติกันไฟฟ้าสถิต เช่น PVC, ลามิเนต (HPL), หรือเซรามิก
- เหมาะสำหรับศูนย์ข้อมูลและห้องควบคุมที่ต้องการป้องกันไฟฟ้าสถิต
1.2 แผ่นพื้นไม้แรงอัดสูง (High-Density Wood Core Raised Floor Panels):
- ทำจากไม้แรงอัดสูง (High-Density Particle Board)
- ปิดผิวด้วยลามิเนต, ไวนิล หรือเซรามิกเพื่อเพิ่มความทนทาน
- น้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย เหมาะสำหรับสำนักงานและพื้นที่ที่ต้องการความสวยงาม
1.3 แผ่นพื้นยกอลูมิเนียม (Aluminum Raised Floor Panels):
- ผลิตจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบาแต่แข็งแรงสูง
- ทนต่อการกัดกร่อนและน้ำ เหมาะสำหรับห้องสะอาด (Clean Room) และพื้นที่ที่ต้องการควบคุมสภาพแวดล้อม
1.4 แผ่นพื้นยกแคลเซียมซัลเฟต (Calcium Sulphate Raised Floor Panels):
- ผลิตจากแคลเซียมซัลเฟต (Calcium Sulphate) ซึ่งเป็นวัสดุอนินทรีย์ที่ได้จากการบีบอัดปูนยิปซัมคุณภาพสูงร่วมกับเส้นใยเซลลูโลส (Cellulose Fiber)
- โครงสร้างที่ได้จะมีความหนาแน่นสูง แข็งแรง ทนทาน และปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
- ทนต่อการรับน้ำหนักสูงและเหมาะสำหรับงานที่มีโหลดคงที่ (Static Load) และโหลดเคลื่อนที่ (Dynamic Load)
- ด้วยคุณสมบัติของแคลเซียมซัลเฟต ทำให้แผ่นพื้นชนิดนี้สามารถป้องกันความชื้นได้ดีเยี่ยม
ขาพื้นยกคือโครงรองรับเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยยึดแผ่นพื้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และรองรับน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2.1 วัสดุเหล็กกล้าชุบสังกะสี (Galvanized Coating):
- ทนทานต่อการกัดกร่อนและเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีความชื้น
- รองรับน้ำหนักได้มาก เหมาะสำหรับงานที่ต้องรับแรงกดสูง เช่น ศูนย์ข้อมูล
2.2 อลูมิเนียม (Aluminum Pedestals):
- น้ำหนักเบา แต่รองรับน้ำหนักได้ดี
- ใช้ในห้องสะอาดที่ต้องการวัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดฝุ่น
2.3 หัวแป้นปรับระดับ (Adjustable Pedestals):
- สามารถปรับความสูงได้ตั้งแต่ +- 15-20 มม. ตามความต้องการ
- เพิ่มความสะดวกในการติดตั้งและปรับให้เข้ากับลักษณะพื้นที่เพื่อให้ได้ระดับของพื้นยกที่เสมอกัน
ขาพื้นยก (Stringer) คือองค์ประกอบหลักที่รองรับน้ำหนักของพื้นยกทั้งหมดและยกพื้นขึ้นจากพื้นจริง โดยมีบทบาทสำคัญดังนี้:
การปรับระดับ:
- ขารองพื้นสามารถปรับระดับความสูงได้ เพื่อให้พื้นยกอยู่ในระดับเดียวกัน แม้พื้นจริงจะไม่เรียบ
วัสดุ:
- ผลิตจากเหล็กหรือโลหะที่มีความแข็งแรงสูง
- มักเคลือบด้วยสังกะสีหรือสารป้องกันสนิมเพื่อความทนทานในระยะยาว
โครงสร้าง:
- ประกอบด้วยฐานรอง (Base Plate) และกระบอกขาพื้นยก (Pedestal Post) ที่ปรับความสูงได้ ที่ยึดติดกับพื้นจริงด้วย epoxy glue เป็น base และจะมีการเพิ่มการยึดด้วย anchor bolt ในกรณีที่มีความต้องการให้ตำแหน่งขา raised floor ไม่ขยับในสถาณะการณ์ที่มีการเดินหรือลากสายไฟหรือระบบอื่นๆผ่านตำแหน่งขา
ความสามารถในการรับน้ำหนัก:
- รองรับน้ำหนักได้สูงตามมาตรฐาน CISCA ซึ่งสามารถปรับได้ตามความต้องการของโครงการ เช่น 2 kN เป็นต้น
คานพื้นยกเป็นคานที่ใช้รองรับแผ่นพื้นยก เป็นส่วนที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้โครงสร้างพื้นยก
3.1 เหล็กเคลือบสีหรือชุบสังกะสี (Gavalnized Coating):
- ช่วยกระจายน้ำหนักให้สม่ำเสมอ
- ใช้งานในพื้นที่ที่ต้องการความแข็งแรงสูง เช่น ศูนย์ข้อมูล
3.2 อลูมิเนียม (Aluminum Stringers):
- น้ำหนักเบา ทนทานต่อการกัดกร่อน
- เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการควบคุมสิ่งแวดล้อม เช่น Clean room
คานพื้นยกหรือ Stringer เป็นโครงสร้างที่เชื่อมต่อระหว่างขาพื้นยก เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและช่วยยึดแผ่นพื้นยกให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง
คุณสมบัติ:
- ทำจากเหล็กชุบสังกะสีหรือวัสดุโลหะที่ป้องกันการกัดกร่อน
- มีรูปร่างเป็นแท่งยาวที่ยึดระหว่างขารองพื้นในแนวนอน
บทบาทสำคัญ:
- เพิ่มความเสถียรของโครงสร้างพื้นยก
- รองรับน้ำหนักและช่วยกระจายน้ำหนักจากแผ่นพื้นไปยังขารองพื้น
- ป้องกันการโยกหรือการเคลื่อนที่ของขารองพื้น
การติดตั้ง:
- Stringer จะถูกขันยึดกับขาพื้นยกด้วยสกรูเพื่อความแน่นหนา
4. ค้ำยันแนวทแยง (Diagonal Bracings):
ค้ำยันแนวทแยง คือโครงสร้างเสริมที่ช่วยเพิ่มความมั่นคงของระบบพื้นยก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ต้องรองรับน้ำหนักมากหรือมีการใช้งานอย่างหนัก
หน้าที่หลัก:
- ลดการสั่นสะเทือนและการโยกของขารองพื้น
- เพิ่มความเสถียรของระบบพื้นยก โดยเฉพาะในโครงการที่ต้องใช้พื้นยกที่มีความสูงมาก (เช่น สูงกว่า 30 ซม.)
โครงสร้าง:
- ทำจากเหล็กหรือวัสดุที่แข็งแรงสูง มักผ่านการเคลือบป้องกันสนิม (Galvanized Coating)
- ติดตั้งในลักษณะเอียงแนวทแยงมุม เชื่อมระหว่างขาพื้นยก เพื่อเพิ่มความแข็งแรงด้านแนวราบของโครงสร้าง
การใช้งาน:
- จำเป็นในโครงการที่ต้องการความปลอดภัยสูง เช่น ศูนย์ข้อมูล, โรงงานอุตสาหกรรมหนัก, และพื้นที่ที่รองรับเครื่องจักรขนาดใหญ่
ความแข็งแรงและมั่นคงของโครงสร้าง:
- ขาพื้นยก, คาน, และค้ำยันแนวทแยง ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโครงสร้างที่มั่นคงและปลอดภัย
- รองรับน้ำหนักจากแผ่นพื้นและอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปรับความสูงและจัดการพื้นที่ใต้พื้น:
- ช่วยสร้างพื้นที่ใต้พื้นให้เพียงพอสำหรับการเดินสายไฟ สายเคเบิล และระบบอื่นๆ
- เพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบและติดตั้ง
ความปลอดภัยและความทนทาน:
- การใช้วัสดุที่ผ่านการชุบสังกะสี (Galvanized Coating) และการออกแบบที่ได้มาตรฐาน ช่วยลดปัญหาการกัดกร่อนและยืดอายุการใช้งาน
วัสดุปิดผิวแผ่นพื้นยกเพิ่มความสวยงามและคุณสมบัติพิเศษให้กับแผ่นพื้น
5.1. PVC (Polyvinyl Chloride):
- มีคุณสมบัติป้องกันไฟฟ้าสถิตและป้องกันรอยขีดข่วน
- ทำความสะอาดง่าย เหมาะสำหรับห้องคอมพิวเตอร์และห้องเซิร์ฟเวอร์
5.2. ลามิเนตความดันสูง (High-Pressure Laminate - HPL):
- ป้องกันไฟฟ้าสถิตและทนต่อการสึกหรอ
- มีลวดลายและสีให้เลือกหลากหลาย
5.3. เซรามิก (Ceramic Tiles):
- กันน้ำ ทนไฟ และทำความสะอาดง่าย
- เหมาะสำหรับห้องที่มีความชื้นหรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงบ่อย
5.4. พื้นไม้ (Wood Veneer):
- เพิ่มความหรูหราและเหมาะกับสำนักงานระดับพรีเมียม
ความสำคัญของระยะห่างระหว่างพื้นยกกับพื้นจริงในงานติดตั้ง
โดยทั่วไป ระยะห่างระหว่างพื้นยกกับพื้นจริงหรือพื้นอาคารเดิมถูกกำหนดให้อยู่ที่ประมาณ 10-30 เซนติเมตร ทั้งนี้ระยะดังกล่าวไม่ได้กำหนดแบบสุ่ม แต่เป็นผลจากการออกแบบที่คำนึงถึงความต้องการของการใช้งานที่หลากหลาย เช่น การระบายอากาศ, การติดตั้งสายไฟ หรือระบบต่าง ๆ ใต้พื้น เพื่อให้การติดตั้งมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด
เหตุผลที่ระยะห่างระหว่างพื้นยกกับพื้นจริงต้องถูกต้อง
1. รองรับการติดตั้งสายไฟและสายเคเบิล:
หากมีการติดตั้งสายไฟหรือสายเคเบิลใต้พื้นยก ระยะความสูงขั้นต่ำที่ 20 เซนติเมตร เป็นสิ่งจำเป็น
- ระยะนี้ช่วยให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการวางสายไฟและการเดินสายเคเบิลอย่างปลอดภัย
- ช่วยให้การซ่อมบำรุงหรือปรับเปลี่ยนสายไฟทำได้ง่ายขึ้น
2. เพิ่มประสิทธิภาพการระบายอากาศ:
- ระยะห่างที่เหมาะสมช่วยให้การระบายอากาศใต้พื้นยกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความร้อนสะสมที่อาจเกิดจากการทำงานของอุปกรณ์
- ช่วยป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับสายไฟหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ใต้พื้น
3. รองรับอุปกรณ์ขนาดใหญ่:
- ระยะห่างระหว่างพื้นยกและพื้นจริงต้องคำนึงถึงความสูงของอุปกรณ์ที่ติดตั้งใต้พื้น เช่น ท่อส่งลมเย็น หรือระบบระบายความร้อน
4. ป้องกันการเสี่ยงต่อความเสียหายของสายไฟและงานระบบอื่นๆ:
- การกำหนดระยะห่างขั้นต่ำที่ 20 เซนติเมตรช่วยลดความเสี่ยงจากการกดทับหรือการขัดขวางการทำงานของสายไฟและงานระบบอื่อน
ตัวอย่างการกำหนดระยะความสูงตามประเภทของการใช้งาน
พื้นที่สำนักงาน (Office):
- อาจใช้ระยะห่างประมาณ 10-15 เซนติเมตร เนื่องจากไม่มีสายไฟหรือระบบขนาดใหญ่ใต้พื้น
ศูนย์ข้อมูล (Data Center):
- จำเป็นต้องมีระยะห่างขั้นต่ำที่ 20-30 เซนติเมตร เพื่อรองรับสายไฟ, สายเคเบิล, และระบบระบายความร้อน
ห้องเซิร์ฟเวอร์ (Server Room):
- ระยะห่างขั้นต่ำที่ 20 เซนติเมตร ช่วยให้สามารถเดินสายไฟและติดตั้งระบบระบายอากาศได้อย่างเหมาะสม
โรงงานอุตสาหกรรม:
- ในพื้นที่ที่มีการติดตั้งท่อหรืออุปกรณ์ขนาดใหญ่ ระยะห่างอาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 30 เซนติเมตร
ข้อควรพิจารณาในการกำหนดระยะความสูงของพื้นยก
- ประเภทของอุปกรณ์: ความสูงควรถูกออกแบบตามความต้องการของอุปกรณ์ใต้พื้น
- มาตรฐานความปลอดภัย: ระยะห่างต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น CISCA เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์และสายไฟจะไม่ถูกกระทบกระเทือน
- การปรับเปลี่ยนในอนาคต: ระยะห่างต้องเพียงพอสำหรับการเพิ่มหรือปรับเปลี่ยนระบบในอนาคต
สรุป
การกำหนดระยะห่างระหว่างพื้นยกกับพื้นจริงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การติดตั้งพื้นยกมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการติดตั้งสายไฟหรือสายเคเบิลใต้พื้น การกำหนดระยะความสูงอย่างเหมาะสม เช่น ไม่น้อยกว่า 20 เซนติเมตร จะช่วยให้การจัดการสายไฟสะดวกขึ้น ป้องกันความเสียหาย และรองรับการซ่อมบำรุงในอนาคตได้อย่างดีเยี่ยม
หากคุณกำลังพิจารณาติดตั้งพื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิต การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการติดตั้งจะเป็นไปตามมาตรฐานและตรงตามความต้องการของคุณ!
วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ และการเก็บรักษา สำหรับงานพื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิต
วัสดุ, อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆที่เกี่ยวข้องสำหรับงานพื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิตต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ หากไม่มีข้อกำหนดพิเศษในแบบก่อสร้าง ควรปฏิบัติตามเงื่อนไขดังนี้:
- พื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิต ต้องมีพื้นผิวที่เรียบเนียน แข็งแรง และการยึดติดระหว่างแผ่นพื้นกับพื้นผิวต้องแน่นหนา รวมถึงต้องมีคุณสมบัติในการทนต่อการสึกหรอ กันความชื้น และหน่วงไฟ
- พื้นผิวของส่วนประกอบต่าง ๆ เช่น ขาพื้นยก (Pedestal) คานพื้นยก (Stringer) และโครงเสริมแนวทะแยง (Diagonal Brace) ควรมีความเรียบเนียน ชิ้นส่วนเหล็กต้องผ่านการชุบสังกะสีหรือการเคลือบป้องกันสนิมแบบอื่น
- คุณสมบัติด้านการป้องกันไฟฟ้าสถิต ประสิทธิภาพทางกล และคุณภาพรูปลักษณ์ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ CISCA
การเก็บรักษาวัสดุควรทำในคลังสินค้าที่มีการระบายอากาศดีและแห้ง หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับด่างหรือสารกัดกร่อน และต้องป้องกันวัสดุจากแสงแดดและฝนอย่างเคร่งครัดเมื่ออยู่นอกอาคาร
เพื่อให้การติดตั้งพื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิตมีคุณภาพสูงสุดและตอบสนองความต้องการของพื้นที่ใช้งานที่หลากหลาย เช่น ห้องคอมพิวเตอร์ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) หรือห้องควบคุมอุตสาหกรรม วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือที่ใช้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้:
คุณสมบัติของวัสดุงานพื้นยก
1. พื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิต:
- พื้นผิวต้อง เรียบเนียน แข็งแรง และสามารถรองรับน้ำหนักได้ดี โดยไม่มีการบิดงอหรือแตกร้าว
- การยึดติดระหว่างแผ่นพื้นและวัสดุผิวหน้าต้อง แน่นหนา เพื่อป้องกันการหลุดลอกเมื่อใช้งานระยะยาว
- มีคุณสมบัติ ป้องกันไฟฟ้าสถิต ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความเสี่ยงต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าในพื้นที่
- ต้องมีคุณสมบัติ ทนต่อการสึกหรอ กันความชื้น หน่วงไฟ และสามารถรองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
2. ฐานรองพื้นและอุปกรณ์เสริม:
- ขาพื้นยก (Pedestal) และ คานพื้นยก (Stringer) ต้องผลิตจากวัสดุที่มีความแข็งแรง เช่น เหล็กกล้า และต้องผ่านการ ชุบสังกะสี (Galvanized Coating) หรือเคลือบป้องกันสนิมเพื่อยืดอายุการใช้งาน
- โครงเสริมแนวทแยง (Diagonal Brace) ต้องมีความแม่นยำในการผลิต พื้นผิวเรียบเนียน และไม่มีรอยตำหนิที่อาจส่งผลต่อความแข็งแรง
- ความสูงของฐานรองพื้นควรปรับได้ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละพื้นที่
3. มาตรฐานและการตรวจสอบคุณภาพ
- คุณสมบัติของวัสดุทั้งหมดต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่น CISCA (Ceilings and Interior Systems Construction Association) ซึ่งครอบคลุมถึงความสามารถด้านการป้องกันไฟฟ้าสถิต ความแข็งแรงทางกล และความสวยงามของพื้นผิว
- ทุกชิ้นส่วนต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพก่อนนำไปใช้งาน โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันไฟฟ้าสถิตและความปลอดภัย
การเก็บรักษาและการขนส่ง
1. สภาพแวดล้อมในการจัดเก็บ:
- วัสดุควรเก็บไว้ในคลังสินค้าที่ มีการระบายอากาศดีและแห้ง เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ
- หลีกเลี่ยงการเก็บใกล้สารกัดกร่อน เช่น ด่างหรือกรด
2. การขนส่ง:
- ระมัดระวังไม่ให้วัสดุสัมผัสกับแสงแดดหรือฝนโดยตรง เพราะอาจทำให้วัสดุเสื่อมสภาพ เช่น การเกิดสนิมหรือการบิดงอของพื้นผิว
- ควรบรรจุวัสดุในกล่องหรือวัสดุห่อหุ้มที่ป้องกันความชื้นและแรงกระแทก
ข้อดีของการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง
- ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาระยะยาว
- เพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ใช้งาน เช่น การลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าสถิตที่อาจทำให้อุปกรณ์เสียหาย
- ยกระดับภาพลักษณ์ของโครงการด้วยวัสดุที่ได้มาตรฐานสากล
การประยุกต์ใช้งาน
- พื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิตเหมาะสำหรับ ห้องคอมพิวเตอร์ ที่ต้องการความเรียบร้อยและการจัดการสายเคเบิลอย่างมีประสิทธิภาพ
- ใช้ใน ห้องควบคุมอุตสาหกรรม เพื่อป้องกันปัญหาจากสภาพแวดล้อม เช่น ความชื้นหรือไฟฟ้าสถิต
- ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ต้องการระบบพื้นยกที่สามารถรองรับน้ำหนักของอุปกรณ์ขนาดใหญ่ได้
การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความทนทาน แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งานในระยะยาว.
คุณสมบัติสำคัญที่วัสดุพื้นยกต้องมี
- ความแข็งแรง (Strength): รองรับน้ำหนักของอุปกรณ์และการเดินเหยียบได้อย่างมั่นคง
- การป้องกันไฟฟ้าสถิต (Anti-Static Properties): ป้องกันการเกิดไฟฟ้าสถิตที่อาจเป็นอันตรายต่ออุปกรณ์
- ความทนทาน (Durability): ทนต่อการสึกหรอ ความชื้น และสารเคมี
- ความยืดหยุ่น (Flexibility): วัสดุที่สามารถปรับใช้ได้กับงานหลากหลายประเภท
- ความปลอดภัย (Safety): ผ่านมาตรฐานกันไฟและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
การดูแลรักษาและข้อควรระวังในการใช้งานพื้นยกสำเร็จรูป
- การทำความสะอาด: ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดเช็ดทำความสะอาดพื้น
- การตรวจสอบ: ตรวจสอบโครงสร้างพื้นและขารองรับทุก 6 เดือน
- ข้อควรหลีกเลี่ยง: ห้ามใช้น้ำยาที่มีฤทธิ์กัดกร่อนสูง
สรุปข้อมูลพื้นยกกันไฟฟ้าสถิต BSP (2512)
พื้นยกกันไฟฟ้าสถิต: มาตรฐานที่คุณวางใจได้
พื้นยกกันไฟฟ้าสถิตถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในพื้นที่ที่ต้องการจัดการระบบไฟฟ้า สายเคเบิล และการป้องกันไฟฟ้าสถิต เช่น ศูนย์ข้อมูล, ห้องคอมพิวเตอร์, ห้องเซิร์ฟเวอร์, และโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยมาตรฐานระดับสากล เช่น CISCA วัสดุและการติดตั้งที่ถูกต้องสามารถยืดอายุการใช้งานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้
ความสำคัญของการติดตั้งที่ถูกต้อง:
- การปูพื้นอย่างมืออาชีพด้วยเทคนิค "Staggered Cross-Paving"
- การกำหนดระยะห่างที่เหมาะสม เช่น 10-30 ซม. เพื่อรองรับการจัดการสายไฟและระบบต่าง ๆ
- ใช้วัสดุที่ผ่านการเคลือบป้องกันสนิม ทนต่อความชื้น และรองรับการสึกหรอ
ข้อดีของพื้นยกกันไฟฟ้าสถิตที่ติดตั้งโดย BSP (2512):
- ทีมงานเชี่ยวชาญ: BSP (2512) มีทีมวิศวกรมืออาชีพที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ การติดตั้ง และการจัดการระบบพื้นยก
- วัสดุมาตรฐานสูง: ใช้วัสดุคุณภาพสูงที่ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน CISCA เพื่อความปลอดภัยและทนทาน
- บริการครบวงจร: ดูแลตั้งแต่การให้คำปรึกษา การออกแบบ ไปจนถึงการติดตั้ง พร้อมการรับประกันคุณภาพ
- ความเข้าใจความต้องการของลูกค้า: BSP (2512) เข้าใจความซับซ้อนของการใช้งานในแต่ละอุตสาหกรรม พร้อมปรับแต่งโซลูชันให้เหมาะสม
ทำไมต้องเลือก BSP (2512)?
"ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปีในอุตสาหกรรมพื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิต BSP (2512) พร้อมมอบโซลูชันที่ครบวงจร วัสดุคุณภาพสูง และทีมงานมืออาชีพที่จะช่วยยกระดับพื้นที่ของคุณให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด เราเข้าใจความสำคัญของทุกโครงการและพร้อมเดินเคียงข้างคุณในทุกขั้นตอนของการติดตั้ง"
"เลือก BSP (2512) เพราะเราคือคำตอบที่สมบูรณ์แบบของงานพื้นยกป้องกันไฟฟ้าสถิตที่คุณวางใจได้!"
Tags: พื้นยกสำเร็จรูปสำหรับศูนย์ข้อมูล, ติดตั้ง Raised Floor ในห้องเซิร์ฟเวอร์, พื้น raised floor กันไฟฟ้าสถิต, ราคาพื้นยกสำเร็จรูปพร้อมติดตั้ง, พื้นยกสำหรับจัดการสายไฟในสำนักงาน, ระบบพื้นยกสำเร็จรูปเพื่อความปลอดภัย
5. Alt Text for Images
- ภาพตัวอย่างการติดตั้งพื้นยกสำเร็จรูปในศูนย์ข้อมูล (Raised Floor Installation)
- ภาพวัสดุพื้นยกพร้อมโครงรองรับคุณภาพสูง (Raised Floor Materials)
- แผ่นพื้นยกสำเร็จรูปปิดผิวเซรามิกในห้องสะอาด
- การติดตั้งพื้น raised floor สำหรับห้องเซิร์ฟเวอร์
- ระบบพื้นยกที่ช่วยจัดการสายไฟใต้พื้นอย่างมีประสิทธิภาพ
- ตัวอย่างโครงสร้างพื้นยกที่ออกแบบสำหรับงานอุตสาหกรรม
- พื้น raised floor สำหรับการใช้งานในสำนักงานขนาดใหญ่
|